การธนาคารนอกประเทศ (Offshore Banking) มีความเกี่ยวข้องกับความลับทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพภาษี และการบริหารจัดการความมั่งคั่งมาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการฟอกเงินและการก่ออาชญากรรมทางการเงินอีกด้วย กลุ่มบุคคลและบริษัทจำนวนมากใช้ธนาคารนอกประเทศอย่างถูกกฎหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินและธุรกิจระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามสถาบันการเงินเหล่านี้มักขาดความโปร่งใส จึงเป็นเหตุให้ดึงดูดอาชญากรที่ต้องการปกปิดเงินที่ผิดกฎหมาย หลบเลี่ยงภาษี และฟอกเงินเข้ามาใช้บริการ
การที่ศูนย์การเงินนอกประเทศหรือที่เรียกกันว่าแดนปลอดภาษี กล่าวคือไม่มีการจัดเก็บภาษีหรือมีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมาก (Tax Havens) มีการกำกับดูแลที่ไม่เคร่งครัด มีการให้บริการการเป็นเจ้าของบัญชีที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ทั้งยังมีโครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อน นั้นช่วยให้ผู้กระทำผิดกฎหมายสามารถโอนเงินไปได้ทั่วโลกโดยไม่ถูกตรวจพบ บทความนี้จะสำรวจว่าการธนาคารนอกประเทศช่วยอำนวยความสะดวกในการฟอกเงินได้อย่างไรตลอดจนกลไกที่อาชญากรใช้และกรณีศึกษาที่สำคัญรวมทั้งแนวทางของประเทศไทยในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการธนาคารนอกประเทศที่กล่าวมานี้
ธนาคารนอกประเทศ (Offshore Banking) คืออะไร?
1. คำจำกัดความและลักษณะสำคัญ
ธนาคารนอกประเทศหมายถึงสถาบันการเงินที่ดำเนินการในเขตอำนาจต่างประเทศ (Foreign Jurisdictions) โดยมักจะมีนโยบายภาษีที่เอื้ออำนวย การคุ้มครองความลับ และการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัด ศูนย์การเงินนอกประเทศ (Common Offshore Financial Centres) ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้แก่:
ธนาคารนอกประเทศหลายแห่งเสนอบริการไม่เปิดเผยตัวตนแก่ผู้ถือบัญชี (Anonymity for Account Holders) สภาพแวดล้อมภาษีต่ำ และกฎหมายความลับที่จำกัดการเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน ทั้งนี้ แม้ว่าการธนาคารนอกประเทศจะเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย แต่คุณสมบัติดังที่กล่าวมาทำให้ธนาคารเหล่านี้เป็นเครื่องมือหลักสำหรับการฟอกเงินและการหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Evasion) (FATF 2023)
2. เปรียบเทียบการใช้บริการทางการเงินที่ถูกกฎหมายและกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย
การธนาคารนอกประเทศมีประโยชน์สำหรับภาคธุรกิจและบุคคล ดังนี้:
ทั้งนี้ บรรดาอาชญากรเองก็ใช้ประโยชน์จากธนาคารนอกประเทศเพื่อดำเนินการดังนี้:
การธนาคารนอกประเทศช่วยอำนวยความสะดวกในการฟอกเงินได้อย่างไร
1. สามขั้นตอน ในการฟอกเงินมีดังนี้
การฟอกเงินผ่านธนาคารนอกประเทศประกอบด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
2. การใช้บริษัทบังหน้า (Shell Companies) และทรัสต์ (Trust) นอกประเทศ
อาชญากรมักจะจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทบังหน้าและทรัสต์นอกประเทศ ในเขตอำนาจของประเทศต่าง ๆ ที่ปกปิดเป็นความลับ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถ:
3. การฟอกเงินโดยอาศัยการค้า (Trade-Based Money Laundering-TBML) ผ่านบัญชีนอกประเทศ
บรรดานักฟอกเงินใช้ประโยชน์จากการเงินการค้าระหว่างประเทศโดยการ:
4. ความเสี่ยงจากธนาคารส่วนตัวและการบริหารความมั่งคั่ง
บริการธนาคารส่วนตัวนอกประเทศให้บริการแก่บุคคลผู้มีทรัพย์สินสุทธิสูง (High Net Worth Individuals--HNWIs) โดยให้บริการ:
กรณีศึกษา: การทุจริตการธนาคารนอกประเทศและการฟอกเงิน
1. การรั่วไหลของเอกสารปานามา (2016)
เอกสารปานามาเปิดโปงบริษัทนอกประเทศ (Offshore Companies) มากกว่า 200,000 บริษัท ที่นักการเมือง ผู้นำธุรกิจ และอาชญากรใช้เพื่อปกปิดความมั่งคั่งและหลบเลี่ยงภาษี โดยที่เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวส่งผลให้เกิด:
2. เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการฟอกเงินของธนาคาร Danske (2018)
ธนาคาร Danske ของเดนมาร์กฟอกเงินมากกว่า 230,000 ล้านดอลลาร์ผ่านเครือข่ายธนาคารนอกประเทศ (Offshore Banking Networks) โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเอสโตเนีย รัสเซีย และสหราชอาณาจักร เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวเผยให้เห็นถึง:
3. คดีทุจริตกองทุน 1MDB (มาเลเซีย)
คดีอื้อฉาวของกองทุน 1MDB ของมาเลเซียพัวพันกับการขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ซึ่งถูกฟอกเงินผ่าน:
การตอบสนองของประเทศไทยต่อความเสี่ยงด้านการธนาคารนอกประเทศ
1. การกวาดล้างการหลีกเลี่ยงภาษีและการฟอกเงินนอกประเทศของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของประเทศไทย (ปปง.) ได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ:
2. การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
ประเทศไทยปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน โดยการ:
ประเทศไทยยังปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานร่วม (Common Reporting Standard-CRS) ของ OECD ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการ:
3. ความเสี่ยงจากคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และการฟอกเงินนอกประเทศ
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน
เพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารนอกประเทศถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน สถาบันการเงินควร:
1. ดำเนินการตามมาตรการด้านการระบุตัวตนลูกค้า (KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริง (Due Diligence Measures) ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
2. ยกระดับความเข้มข้นในการเฝ้าติดตามธุรกรรมข้ามพรมแดน
3. เสริมสร้างข้อผูกพันในการรายงาน
4. นำ AI และการวิเคราะห์บล็อกเชน (Blockchain Analytics) มาใช้ในการตรวจจับความเสี่ยง
บทสรุป
การธนาคารนอกประเทศ (Offshore Banking) ก่อให้เกิดทั้งผลประโยชน์ทางการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายและความเสี่ยงต่อการฟอกเงินเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่เขตอำนาจบางแห่งบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัด แต่เขตอำนาจอื่นกลับมีกฎหมายปกป้องความลับที่เอื้อประโยชน์ต่อการไหลเวียนของเงินทุนที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ประเทศไทยได้เพิ่มความเข้มงวดเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสของการธนาคารนอกประเทศ และให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศเพื่อตรวจจับและป้องกันมิให้เกิดมีการฟอกเงิน
เมื่อกฎระเบียบระดับโลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป ระดับความร่วมมือข้ามพรมแดนที่เพิ่มมากขึ้น กรอบการทำงานด้าน KYC ที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาตลอดจนข้อมูลทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI ก็จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดหรือบรรเทาความเสี่ยงที่เกิดจากธนาคารนอกประเทศได้